วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

คำอุทาน






7. คำอุทาน
“อุทาน” แปลว่า เสียงที่เปล่งออกมา ฉะนั้น “อุทาน” จึงหมายถึงเสียงที่เปล่งออกมาเพื่อบอกอาการหรือความรู้สึกของผู้ส่งสาร
คำอุทานมักอยู่หน้าประโยค เวลาเขียนนิยมใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!)กำกับไว้หลังคำอุทาน คำอุทานไม่จัดเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของข้อความ แต่การพิจารณาความหมายของคำอุทานต้องพิจารณาให้สัมพันธ์กับสัมพันธ์กับบริบทหรือข้อความแวดล้อม
คำอุทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
7.1 คำอุทานบอกอาการ คือ คำอุทานที่ใช้แสดงความรู้สึกต่างๆของผู้พูด เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ แปลกใจ สงสัย สงสาร โกรธ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
คำอุทานมักจะอยู่หน้าประดยคและเครื่องหมายอัศเจรีย์(!) กำกับหลังคำอุทานนั้นอยู่เสมอ
คำอุทานนั้นจะช่วยสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงเจตนาและความรู้สึกของผู้ส่งสารได้ชัดเจนซึ่งจะขอยกตัวอย่างให้ดูเช่น
ชะ, ชะชะ, ชิ, ชิชิ
ไชโย                      
โธ่, พุทโธ่               
ว้าย                      
วุ้ย               
7.2 คำอุทานเสริมบท คือ คำอุทานที่ใช้เป็นคำเสริมหรือคำสร้อย เพื่อให้คำสละสลวยขึ้น หรือมีคำครบถ้วนตามที่ต้องการ แบ่งออกเป้น 2 ชนิด คือ
1) คำอุทานเสริมบทที่ใช้เสริมคำซ้อนเข้ามา โดยคำที่นำมาเสริมนั้นไม่มีความหมายอะไรเป้นแต่เดิมเข้ามาเพื่อให้เป้นสะพานเสียงทอดสัมผัสระหว่างคำหน้ากับคำหลัง เช่น เที่ยงนางกลางคืน วัดวาอาราม ผ้าผ่อนท่อนสไบ ลดราวาศอก เลขผานาที ลูกเต้าเหล่าใคร สิงสาราสัตว์ หรอืเสริมเพื่อเลียนเสียงคำเดิมเพื่อเสริมเสียงให้ยาวออกไป เช่น รถรา หนังสือหนังหา พยาบงพยาบาล พยายงพยายาม หัวหลัวหัวตอ (คำพวกนี้ปัจจุบันเป็นคำซ้อนเพื่อเสียง)
2) คำอุทานเสริมบทที่เป็นคำสร้อยของคำประพันธ์ เพื่อให้บทประพันธ์นั้นมีพยางค์ครบตามบัญญัติของฉันทลักษณ์ ไม่ได้มีความหมายอะไรเพิ่มขึ้น เช่น ฮา แฮ แล นา ฤา เอย

 ที่มา : วิเชียร เกษประทุม. (2557). หลักภาษาไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา.  

คำสันธาน







6.  คำสันธาน

“สันธาน” แปลว่า การต่อหรือเครื่องต่อ คำสันธานจึงหมายถึง คำที่ใช้เชื่อมต่อถ้อยคำให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน
หน้าที่ของคำสันธาน คำสันธานทำหน้าที่เป็นบทเชื่อม 4 อย่างคือ
 6.1 เชื่อมคำกับคำให้ติดต่อกัน เช่น
-อ่านกับเขียนเป็นทักษะที่สำคัญในภาษาไทย
-ฉันพบเงินและทองอยู่ในหีบ
-เขาเลี้ยงไก่ เป็ด ห่าน และนก (ละ สันธานและข้างหน้าที่ซ้ำกัน)
6.2 เชื่อมประโยคกับประโยคให้ติดต่อกัน เช่น
-สามีเดินข้างหน้าและภรรยาเดินข้างหลัง
-เขาชอบแกงเห็ดแต่ฉันชอบแกงจืด
-เพราะเขาเป็นคนมีน้ำใจทุกคนจึงรักเขา
-เธอมาทำงานหรือเธอมาเล่น
6.3 เชื่อมข้อความกับข้อความให้สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
-ขึ้นชื่อว่าทรัพย์ย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่เราจะหามาได้ต้องอาศัยความพยายาม เหตุฉะนั้นความพยายามจึงเป็นบ่อเกิดของการได้มาซึ่งทรัพย์
6.4 เชื่อมความเพื่อให้สละสลวย เช่น
-อันว่าทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของนอกกาย ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้
-คนเราก็ต้องผิดพลาดกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
-อย่างไรก็ตามฉันต้องช่วยเขาให้ได้
คำสันธานนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ระหว่างคำ ระหว่างประโยค หรือระหว่างความเสมอไป จะสอดลงไว้ในที่แห่งใดก็ได้ อาจจะอยู่หน้า กลาง  หรือหลังประโยคก็ได้ และจะใช้คำกี่คำก็ได้แล้วแต่เหมาะสม คำสันธานนั้นมีทั้งเป็นคำคำเดียว เช่น และ กับ แต่ หรือเข้าคู่กัน เช่น ครั้น..จึง เพราะ..จึง ทั้ง..และ  หรือเป็นกลุ่มคำ เช่น อย่างไรก็ดี หรือมิฉะนั้น
คำสันธานแบ่งออกได้หลายชนิด
  1. .สันธานเชื่อมความคล้อยตาม เช่น กับ และ ก็ได้ ก็ดี ทั้ง ทั้ง..ก็ ทั้ง..และ ทั้ง..กับ  ก็ จึง ครั้น..จึง ครั้น..ก็ เมื่อ..ก็ พอ..ก็
ตัวอย่าง :  วิรัชกับวิบูลย์ทำกับข้าว              ยานี้ใช้กินก็ได้ทาก็ได้        พอฝนตกฉันก็นอน
   วันนี้ทั้งฝนก็ตกทั้งแดดก็ออก    ทั้งเธอและฉันต้องช่วยกันรดน้ำต้นไม้
2. สันธานเชื่อมความขัดแย้ง เช่น แต่ แต่ว่า แต่ทว่า  ถึง..ก็ กว่า..ก็
ตัวอย่าง : เขาแต่งตัวดีแต่ไม่สนใจการเรียน   ปากเขาร้ายแต่ทว่าใจเขาดี
  ถึงเขาเป็นนักมวยฉันก็ไม่กลัว        กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้
3. สันธานเลือกความที่เลือกเอา เช่น หรือ  มิฉะนั้น ไม่เช่นนั้น หรือมิฉะนั้น หรือไม่ก็ ไม่..ก็
ตัวอย่าง : เธอจะเรียนหรือเธอจะเล่น            คุณต้องทำงานมิฉะนั้นต้องลาออก
  ไม่พี่ก็น้องต้องไปรับคุณปู่              อ่านหนังสือไปหรือไม่ก็นอนเสีย
4. สันธานเชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกันเช่น จึง เพราะ..จึง เพราะฉะนั้นจึง ฉะนั้น..จึง ดังนั้น..จึง
ตัวอย่าง :  เขาป่วยเป็นไข้หวัดจึงขาดเรียน
   เพราะเขาเป็นคนขยันทำงานเขาจึงมีฐานะดี
   เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวเพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครคบเขา
   เขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครฉะนั้นเขาจึงอยู่คนเดียว
   มีผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่าดังนั้นน้ำจึงท่วมทุกปี
5. สันธานเชื่อมข้อความต่างตอนกัน เช่น สันธานชนิดนี้จะใช้เชื่อมข้อความที่กล่าวถึงตอนหนึ่งจบแล้ว กับข้อความที่จะกล่าวอีกตอนหนึ่งให้สัมพันธ์กัน เช่น ฝ่าย ส่วน ฝ่าย ว่า  อนึ่ง อีกประการหนึ่ง
 ที่มา : วิเชียร เกษประทุม. (2557). หลักภาษาไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา.  

คำวิเศษณ์




5. คำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์ คือ คำที่ทำหน้าที่ประกอบคำหรือขยายคำอื่น ได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อบ่งชี้ลักษณะต่างๆ เช่น ชนิด สัณฐาน ขนาด สี กลิ่น รส เสียง สัมผัส อาการ นอกจากนี้ยังบ่งชี้สถานที่ ปริมาณ จำนวน เป็นต้น คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 10 ประเภท ดังนี้
 5.1 ลักษณะวิเศษณ์ [ลัก-สะ-หนะ-วิ-เสด] คือ คำวิเศษที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกลักษณะ ซึ่งหมายรวมถึงสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยหู จมูก ลิ้น ผิวหนัง เพื่อบอกชนิด สัณฐาน ขนาด สี กลิ่น รส เสียง สัมผัส  อาการ ซึ่งสามารถแยกย่อยได้ดังนี้
1) บอกชนิด เช่น ดี ชั่ว อ่อน ดิบ แก่ หนุ่ม สาว
ตัวอย่าง : วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน
2) บอกสัณฐาน เช่น ดี กลม รี แบน แป้น เหลี่ยม ราบ
ตัวอย่าง : ทหารเดินเป็นวงกลม
3) บอกขนาด เช่น เล็ก ใหญ่ โต กว้าง แคบ สูง ต่ำ อ้วน ผอม
ตัวอย่าง : บ้านของนายอำเภอหลังใหญ่
4) บอกสี เช่น ขาว ดำ แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน ชมพู
ตัวอย่าง : นักเรียนสวมเสื้อสีขาว
  5.2 กาลวิเศษณ์ [กาน-ละ-วิ-เสด] คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก เดี๋ยวนี้ แต่ก่อน กลางวัน กลางคืน
ตัวอย่าง : คุณปู่ตื่นแต่เช้า รถยนต์ออกเวลาเที่ยง เจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน
 5.3 สถานวิเศษณ์ [สะ-ถาน-นะ-วิ-เสด] คือคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกสถานที่ เช่น ไกล ใกล้ หน้า หลัง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา บน ล่าง ห่าง ชิด ริม ขอบ
ตัวอย่าง : ลูกเสือเดินทางไกล บ้านฉันอยู่ใกล้ รถช้าชิดซ้าย
  5.4 ประมาณวิเศษณ์ [ ประ-มา-นะ-วิ-เสด] คือคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกปริมาณ เช่น มาก น้อย จุ ทั้งหมด ทั้งสิ้น ครบ หลาย ตัวเลขบอกจำนวน
ตัวอย่าง : คนอ้วนมักกินจุ รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ
 5.5 นิยมวิเศษณ์ [นิ-ยม-วิ-เสด] คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกชี้เฉพาะได้แน่นอนชัดเจนลงไป เช่น นี่ โน่น นั่น นั้น โน้น แน่นอน เอง เฉพาะ
ตัวอย่าง : อาคารนี้ทาสีขาว สุนัขตัวนั้นไล่ไก่
ฉันทำกับข้าวเอง ร้านตัดผมหยุดเฉพาะวันพุธ
 5.6 อนิยมวิเศษณ์ [อะ-นิ-ยม-วิ-เสด] คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกความไม่เฉพาะเจาะจงลงไปและไม่ได้เป็นคำถาม เช่น ใคร อะไร ไหน ทำไม
ตัวอย่าง : เธอจะพักบ้านหลังไหนก็ได้
สิ่งใดไม่สำคัญเท่าความสามัคคี
 5.7 ปฤจถาวิเศษณ์ [ปริด-ฉา-วิ-เสด] คือคำวิเศษณ์ที่ประกอบคำอื่นเพื่อบอกเนื้อหาหรือแสดงความสงสัย เช่น ใคร อะไร ไหน ทำไม อย่างไร
ตัวอย่าง : คุณแม่จะไปไหน วันนี้เธอทำอะไรบ้าง
 5.8 ประดิชญาวิเศษณ์ [ประ-ดิด-ยา-วิ-เสด] คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อแสดงการตอบรับเป็นควาทสละสลวยของภาษาหรือแสดงความเป็นกันเองของคู่สนทนา เช่น ครับ คะ ค่ะ จ๊ะ จ้ะ จ๋า ขา
ตัวอย่าง : คุณพ่อมีแขกมาหาค่ะ
แม่จ๋าแม่ไปไหนมาจ๊ะ
 5.9 ประติเสธวิเศษณ์ [ประ-ติ-เสด-วิ-เสด] คือคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำอื่นเพื่อบอกความปฏิเสธ ไม่ยอมรับหรือห้าม เช่น มิ มิได้ ไม่ได้ ไม่ใช่ อย่า หาไม่ บ่
ตัวอย่าง : คนไม่รักชาติของตนเป็นคนคบไม่ได้
เธออย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ
 5.10 ประพันธวิเศษณ์ [ประ-พัน-ทะ-วิ-เสด] คือคำวิเศษณ์ที่ประกอบคำอื่นหรือคำวิเศษณ์เพื่อเชื่อมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน
ตัวอย่าง : รถคันนี้ดีไม่กินน้ำมัน (ประกอบวิเศษณ์-ดี)
เธอสวยมากซึ่งดูไม่เบื่อเลย (ประกอบวิเศษณ์-มาก)

 ที่มา : วิเชียร เกษประทุม. (2557). หลักภาษาไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา.  

คำบุพบท





4. คำบุพบท
   คำบุพบท คือ คำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำ เพื่อให้รู้ว่าคำที่อยู่หลังคำบุพบทนั้นมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับคำที่อยู่ข้างหน้าอย่างไร คำบุพบทแบ่งออกได้หลายชนิด ดังนี้
 4.1 .บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานที่ เช่น ใน นอก บน ใต้ เหนือ ริม ข้าง หน้า หลัง ใกล้ ไกล ที่ จาก ถึง ได้แก่
         เงินอยู่ในกระเป๋า
         คนนั่งพักใต้ต้นไม้
 4.2 บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับความประสงค์ เช่น แก่ เพื่อ โดย ด้วย ตาม ได้แก่
          เขาเห็นแก่เงิน
          เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติโดยเร็ว
          เราตกลงกันด้วยดี
 4.3 บุพบทแสดงความสัมพันธ์กับเวลา เช่น เมื่อ ใน ณ แต่ ตั้งแต่ จน จนกระทั่ง สำหรับ เฉพาะ ได้แก่
        เขาทำงานตั้งแต่เช้าจนเย็น
        ฉันรอเธอจนกระทั่งเที่ยง
4.4 บุพบทแสดงความสัมพันธ์ เช่น ของ แห่ง ได้แก่
        บ้านนี้เป็นสมบัติของปู่
        อาคารแห่งประเทศไทย
4.5 บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับเป็นเครื่องใช้ เช่น ด้วย โดย เพราะ กับ ตาม ได้แก่
        รายงานฉบับนี้ฉันเขียนด้วยมือฉันเอง
        พ่อเดินทางโดยรถไฟ
4.6 บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับการเป็นผู้รับ เช่น กับ แก่ แด่ ต่อ เพื่อ สำหรับ ได้แก่
       แม่บอกกับฉันว่าต้องขยันเรียน
       ฉันขอมอบของขวัญนี้แก่เธอ
4.7 บุพบทแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับการประมาณหรือคาดคะเน เช่น เกือบ ราว สัก ได้แก่
       มีผู้ชมการแสดงเกือบหนึ่งพันคน
       ฉันขอยืมเงินเธอสักสองร้อยบาท
4.8 คำบุพบทที่ไม่เชื่อมกับคำอื่น มักใช้ในหนังสือเทศน์หรือคำประพันธ์ โดยทำหน้าที่เป็นคำร้องเรียก เช่น ดูกร ดูรา ดูก่อน ข้าแต่ อันว่า ดูแน่ะ ได้แก่
        ดูกรมหาพราหมณ์ ท่านจงทำตามคำที่เราบอก
        ดูราสหายที่รัก ขอท่านจงมีความอดทนเถิด
*ปัจจุบันคำเหล่านี้ไม่นิยมใช้ หากจะใช้มักจะใช้คำสามานยนามหรือวิสามานยนาม เรียกชื่อหรือตำแหน่งความเกี่ยวข้องลงไปเลย เช่น นักศึกษาทั้งหลายโปรดฟังทางนี้
      คำบุพบทบางคำมีรูปอย่างเดียวกับคำวิเศษณ์ แต่ใช้ต่างกันคือ คำบุพบทต้องนำหน้าคำนามหรือสรรพนาม จะใช้ตามลำพังไม่ได้ แต่คำวิเศษณ์ต้องใช้ประกอบคำที่อยู่ข้างหน้าจะมีคำตามหลังก็ได้ แต่ต้องเป็นบทขยายหรือบทกรรม เช่น
    เขาอยู่ในบ้าน (บุพบท)  เขาอยู่ใน (วิเศษณ์)
    เขาอยู่ใกล้บ้าน (บุพบท) เขาอยู่ใกล้ (วิเศษณ์)
หน้าที่ของคำบุพบท
1.บุพบทนำหน้าคำนาม
   ตัวอย่าง: ปากกาของครูหาย
2.บุพบทนำหน้าคำสรรพนาม
    ตัวอย่าง: ฉันคิดถึงเธอเสมอ
3.บุพบทนำหน้าคำกริยา
    ตัวอย่าง: เขาเห็นแก่กิน
4.บุพบทนำหน้าคำวิเศษณ์
     ตัวอย่าง: เธอต้องทำให้เสร็จโดยเร็ว

 ที่มา : วิเชียร เกษประทุม. (2557). หลักภาษาไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา.  

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

คำกริยา






3.คำกริยา
  คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการของนามและสรรพนาม หรือแสดงการกระทำของประธาน แบ่งออกได้ 5 ชนิด ดังนี้
 3.1 สกรรมกริยา คือ กริยาที่ต้องมีกรรมมารับ จึงจะทำให้ความหมายสมบูรณ์ครบถ้วน เช่น
        ทหารถือปืน
        ตำรวจจับผู้ร้าย
 3.2 อกรรมกริยา คือ กริยาที่มีความหมายครบถ้วนในตัวเอง ไม่ต้องมีกรรมมารับ ถ้าต้องการให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นต้องมีคำหรือวลีมาขยาย เช่น
        นักเรียนเดินที่ถนน
        นกบินในอากาศ
ข้อสังเกต กริยาบางคำ เมื่ออยู่กับคำนาม สามารถเป็นได้ทั้งอกรรมกริยาและสกรรมหริยา นอกจากนี้ กริยาบางคำมีหลายความหมายก็ทำให้เป็นได้ทั้งอกรรมกริยาและสกรรมกริยา เช่น
        หน้าต่างเปิด (เปิดเป็นอกรรมกริยา)
        เขาเปิดหน้าต่าง (เปิดเป็นสกรรมกริยา)
 3.3 วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง จะต้องอาศัยคำที่ตามมาข้างหลังมาช่วย ซึ่งเรียกว่าส่วนเติมเต็ม ส่วนนี้ไม่ได้เรียกว่ากรรม เพราะไม่ได้รับการกระทำจากนามที่มาข้างหน้า ได้แก่ คือ เป็น เหมือน คล้าย เท่า เสมือน ดุจ ประดุจ ราวกับ เปรียบเหมือน เช่น
        เขาเป็นครู
        เขาเสมือนนักโทษที่ฆ่าคน
        รูปร่างของลาเหมือนม้า
 3.4 กริยานุเคราะห์ คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยกริยาอื่นเพื่อแสดงการ มาลา และวาจก โดยนำไปไว้หน้าหรือหลังกริยาในประโยค เพราะคำในภาษาไทยมีรูปคงที่ไม่เปลี่ยนรูปไปตามกาล มาลา หรือวาจก เหมือนภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย จึงจำเป็นต้องอาศัยกริยานุเคราะห์ช่วย แบ่งออกได้ดังนี้
     3.4.1 กริยานุเคราะห์ช่วยแสดงกาล คือ คำกริยาที่ใช้บอกเวลา เช่น
        น้องยังหลับ (ยัง บอกปัจจุบันกาล)
        เขาทำงานแล้ว (แล้วบอกอดีตกาล)
        ฉันจะไปหาเธอ (จะบอกอนาคตกาล)
    3.4.2 กริยานุเคราะห์บอกมาลา คือ คำกริยาที่ใช้แสดงความคิดเห็น แนะนำ ปฏิเสธ ซักถาม คาดคะเน มั่นใจ สั่ง ห้าม เช่น
         เราควรเรียนภาษาอังกฤษ (ควร แสดงความคิดเห็นหรือแนะนำ)
         ฉันไม่รับประทานเนื้อสัตว์ (ไม่ แสดงการปฏิเสธ)
     3.4.3 กริยานุเคราะห์บอกวาจก คือ คำกริยาที่แสดงว่าประธานทำหน้าที่เป็นผู้ใช้ ผู้ถูก หรือผู้ถูกใช้ เช่น
         ครูให้นักเรียนเขียนหนังสือ (ประธานเป็นผู้ใช้ จัดเป็นกรรตุวาจก)
3.5 กริยาสภาวมาลา คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายกับนาม อาจเป็นประธาน เป็นกรรม เช่น
         นอนมีประโยชน์กว่าอิริยาบถอื่น (นอน เป็นประธานของกริยา มี)
         ฉันชอบเดิน (เดิน เป็นกรรมของกริยา ชอบ)

 ที่มา : วิเชียร เกษประทุม. (2557). หลักภาษาไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา.