7. คำอุทาน
“อุทาน” แปลว่า เสียงที่เปล่งออกมา ฉะนั้น “อุทาน” จึงหมายถึงเสียงที่เปล่งออกมาเพื่อบอกอาการหรือความรู้สึกของผู้ส่งสาร
คำอุทานมักอยู่หน้าประโยค เวลาเขียนนิยมใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!)กำกับไว้หลังคำอุทาน คำอุทานไม่จัดเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของข้อความ แต่การพิจารณาความหมายของคำอุทานต้องพิจารณาให้สัมพันธ์กับสัมพันธ์กับบริบทหรือข้อความแวดล้อม
คำอุทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
7.1 คำอุทานบอกอาการ คือ คำอุทานที่ใช้แสดงความรู้สึกต่างๆของผู้พูด เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ แปลกใจ สงสัย สงสาร โกรธ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
คำอุทานมักจะอยู่หน้าประดยคและเครื่องหมายอัศเจรีย์(!) กำกับหลังคำอุทานนั้นอยู่เสมอ
คำอุทานนั้นจะช่วยสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงเจตนาและความรู้สึกของผู้ส่งสารได้ชัดเจนซึ่งจะขอยกตัวอย่างให้ดูเช่น
ชะ, ชะชะ, ชิ, ชิชิ
ไชโย
โธ่, พุทโธ่
ว้าย
วุ้ย
7.2 คำอุทานเสริมบท คือ คำอุทานที่ใช้เป็นคำเสริมหรือคำสร้อย เพื่อให้คำสละสลวยขึ้น หรือมีคำครบถ้วนตามที่ต้องการ แบ่งออกเป้น 2 ชนิด คือ
1) คำอุทานเสริมบทที่ใช้เสริมคำซ้อนเข้ามา โดยคำที่นำมาเสริมนั้นไม่มีความหมายอะไรเป้นแต่เดิมเข้ามาเพื่อให้เป้นสะพานเสียงทอดสัมผัสระหว่างคำหน้ากับคำหลัง เช่น เที่ยงนางกลางคืน วัดวาอาราม ผ้าผ่อนท่อนสไบ ลดราวาศอก เลขผานาที ลูกเต้าเหล่าใคร สิงสาราสัตว์ หรอืเสริมเพื่อเลียนเสียงคำเดิมเพื่อเสริมเสียงให้ยาวออกไป เช่น รถรา หนังสือหนังหา พยาบงพยาบาล พยายงพยายาม หัวหลัวหัวตอ (คำพวกนี้ปัจจุบันเป็นคำซ้อนเพื่อเสียง)
2) คำอุทานเสริมบทที่เป็นคำสร้อยของคำประพันธ์ เพื่อให้บทประพันธ์นั้นมีพยางค์ครบตามบัญญัติของฉันทลักษณ์ ไม่ได้มีความหมายอะไรเพิ่มขึ้น เช่น ฮา แฮ แล นา ฤา เอย
ที่มา : วิเชียร เกษประทุม. (2557). หลักภาษาไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์พ.ศ.พัฒนา.